เรเน่ เซลเวเกอร์ เจ้าของสองรางวัลออสการ์ กลับมารับบทบาทที่สร้างความมั่นคงจนเป็นที่ยอมรับให้กับตัวละครนางเอกในภาพยนตร์ตลกโรแมนติคมาหลายยุคหลายสมัย เป็นบทของผู้หญิงที่มีแนวทางชีวิตและความรักที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้ ซึ่งช่วยให้คำนิยามใหม่กับภาพยนตร์แนวนี้อีกครั้ง
Bridget Jones สร้างแรงปะทุจนระเบิดตูมบนชั้นหนังสือครั้งแรกในผลงานวรรณกรรมที่เป็นปรากฏการณ์ของ เฮเลน ฟิลดิ้ง เรื่อง Bridget Jones’s Diary ซึ่งกลายมาเป็นหนังสือขายดีระดับโลก และยังกลายเป็นภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์อีกด้วย ในฐานะผู้หญิงทำงานที่เป็นโสด ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในลอนดอน บริดเจ็ท โจนส์ไม่เพียงแต่ทำให้โลกได้รู้จักการผจญภัยในเรื่องความรักสุดโรแมนติคของเธอเท่านั้น แต่เธอยังเพิ่มคำว่า Singletons, Smug Marrieds and f—wittage ลงไปในพจนานุกรมโลกอีกด้วย ความสามารถของบริดเจ็ทที่เอาชนะได้แม้จะมีอุปสรรค์ ทำให้สุดท้ายแล้วเธอได้แต่งงานกับทนายแถวหน้าอย่าง มาร์ก ดาร์ซี่ (รับบทโดยเจ้าของรางวัลออสการ์ โคลิน เฟิร์ธ) และเธอได้กลายมาเป็นคุณแม่ของเบบี๋เพศชาย จนได้พบความสุขในที่สุด



แต่ใน Bridget Jones: Mad About the Boy บริดเจ็ทต้องกลับมาโดดเดี่ยวตัวคนเดียวอีกครั้ง เธอกลายเป็นม่ายเมื่อสี่ปีก่อน เมื่อ มาร์ก เสียชีวิตในระหว่างทำภารกิจด้านมนุษยธรรมในซูดาน บัดนี้ เธอกลายเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวของ บิลลี่ เด็กชายวัย 10 ปี (รับบทโดย แคสเปอร์ น็อปฟ์ จากผลงานเรื่อง Halo) และเมเบิล วัย 6 ปี (นักแสดงเด็กหน้าใหม่ มีล่า แจนโควิค) เธอติดอยู่ในสภาวะตกนรกทั้งเป็นทางอารมณ์ เธอต้องเลี้ยงลูกๆ โดยได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ ที่จริงใจ อย่างเช่นอดีตคนรัก แดเนียล เคลเวอร์ (รับบทโดย ฮิวจ์ แกรนท์)
เธอถูกกดดันจากครอบครัวคนเมืองหลวงของเธอ ได้แก่ แชซเซอร์ (แซลลี่ ฟิลลิปส์ จาก Smack the Pony, Veep, Love at First Sight), จู้ด (เชอร์ลี่ย์ เฮนเดอร์สัน จาก See How they Run, Harry Potter and the Goblet of Fire, The Mandalorian) และทอม (เจมส์ คัลลิส จาก Slow Horses, Blood & Treasure, Castlevania), เพื่อนร่วมงาน มิแรนด้า (ซาร่าห์ โซเลมานี จาก Barry, Bad Education, Chivalry), อดีตบรรณาธิการของเธอ ริชาร์ด ฟินช์ (นีล เพียร์สัน จาก Silent Witness, Waterloo Road, In the Club) และสูตินรีแพทย์ประจำของเธอ ดร.รอว์ลิ่งส์ (รับบทโดยเจ้าของรางวัลออสการ์ เอ็มม่า ธอมป์สัน) คนเหล่านี้กดดันให้เธอเริ่มต้นเส้นทางชีวิตและความรักใหม่ บริดเจ็ทจึงกลับไปทำงานและพยายามลองหาคู่ผ่านแอพหาคู่ ซึ่งในไม่ช้า เธอก็ถูกไล่ตามจีบจากชายหนุ่มช่างฝันที่มีความกระตือรือร้น (ลีโอ วูดัลล์ จาก One Day, White Lotus)



บัดนี้ บริดเจ็ทที่ต้องสับรางทั้งเรื่องงาน เรื่องบ้าน และเรื่องความรัก ต้องจัดการกับการตัดสินของบรรดาแม่ของเด็กๆ ที่โรงเรียนที่ทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบ ต้องเป็นห่วง บิลลี่ที่ยังต้องดิ้นรนปรับตัวกับการขาดหายไปของผู้เป็นพ่อ และบริดเจ็ทต้องมีส่วนร่วมในการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่น่าอึดอัดใจกับครูวิทยาศาสตร์ของลูกชายของเธอที่ยึดมั่นว่าความผิดทุกอย่างต้องมีเหตุผล (รับบทโดยนักแสดงที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ซิวีเทลเอจิโอฟอร์ จากภาพยนตร์เรื่อง 12 Years a Slave, Children of Men)
สำหรับ เรเน่ เซลเวเกอร์ เจ้าของสองรางวัลออสการ์ การได้กลับมารับบท บริดเจ็ท โจนส์ ให้ความรู้สึกเหมือนได้กลับมาบ้าน ทั้งสำหรับตัวเธอเอง และสำหรับคนดู พวกเขาทุกคนต่างเติบโตมาด้วยกัน “ในหนังสือ บนจอภาพยนตร์ มันให้ความรู้สึกเหมือนคุณกำลังนัดเลี้ยงรุ่นเพื่อกลับมาเจอเพื่อนค่ะ” เซลเวเกอร์บอก “มันเป็นเรื่องน่าสนใจสำหรับตัวละครในนิยายที่เดินหน้าผ่านเส้นทางชีวิตในก้าวจังหวะเดียวกับคนที่อินไปกับเรื่องราวของเธอและรักเธอ ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาสามารถมองเห็นตัวเองสะท้อนจากประสบการณ์ชีวิตของบริดเจ็ท พวกเขาอยากพบเธออีกครั้งเพื่อดูว่าเธอเติบโตขึ้นอย่างไร และชีวิตเธอเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เธอรับมือกับความท้าทายในปัจจุบันอย่างไร นี่คือความรู้สึกที่เป็นสากลของคนที่เติบโตมากับบริดเจ็ทค่ะ”
อย่างน้อยก็สำหรับตัวเซลเวเกอร์เอง “มันสนุกมากค่ะ ฉันสามารถ บันทึกช่วงเวลาหลายทศวรรษของฉันเอง และประสบการณ์ชีวิตของฉันที่พัวพันอยู่กับการถ่ายทำภาพยนตร์เหล่านี้ พร้อมกับครอบครัวของ Bridget ที่ขยายวงกว้างออกไป” เซลเวเกอร์กล่าว “มันเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยอารมณ์เสมอเมื่อเราได้กลับไปเจอกับเพื่อนแท้ และจะยิ่งสะเทือนอารมณ์มากขึ้นเวลาที่เราต้องจากกัน มันมีความเกี่ยวพันกันระหว่างบริดเจ็ทกับตัวฉัน ซึ่งมันแข็งแกร่งที่สุดกับคนที่รักเธอ แต่มันแฝงอยู่ในตัวพวกเขาเองค่ะ เรามีโอกาสได้สร้าง บริดเจ็ท ขึ้นบนจอภาพยนตร์ และผู้คนตกหลุมรักเธอ บริดเจ็ททำให้เรานึกได้ว่ามันโอเคนะที่เราไม่เห็นต้องสมบูรณ์แบบ คุณยังคงได้ผู้ชาย ประสบความสำเร็จ และมีความสุขได้เมื่อคุณเป็นแค่ตัวเอง คุณโอเคเลยที่เป็นคนที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ”



ฮิวจ์ แกรนท์ เองก็พอใจอย่างมากที่ตัวละครที่แสนอ่อนโยนของเขา แดเนียล เคลเวอร์ ได้กลับมาในภาคที่ 4 ของเรื่องราวของบริดเจ็ท โจนส์ “เคลเวอร์เป็นบทที่ผมเล่นได้สนุกมากครับ” แกรนท์บอก “หนึ่งในไม่กี่อย่างที่ผมค้นพบตลอดหลายปีมานี้ ก็คือถ้าคุณไม่สนุกกับการแสดงบทบาท คุณก็ไม่ควรแสดงบทนั้นครับ เขาคือลมหายใจอากาศบริสุทธิ์ เป็นไดโนเสาร์ในโลกที่ตื่นตัว เขาทั้งซุกซนและทำผิดด้วยครับ”
ใน Bridget Jones: Mad About the Boy ความสัมพันธ์ระหว่างบริดเจ็ทและแดเนียล ที่เริ่มต้นด้วยการเป็นพนักงานกับเจ้านาย ต่อมาเขากับเธอมีความสัมพันธ์รักที่ยุ่งเหยิง แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาได้กลายมาเป็นมิตรภาพที่บริสุทธิ์ใจแล้ว “พวกเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นยังไงครับ” แกรนท์บอก “ในจุดที่ครั้งหนึ่งเคยมีการปิ๊งกัน มันก็จะยังมีประกายปิ๊งๆ อยู่นิดหน่อย และในภาพยนตร์ภาคนี้ เราก็เล่นกับเรื่องนั้นครับ”
แกรนท์บอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้ขุดลึกลงไปในเขตแดนใหม่สำหรับภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ เพราะว่าตัวหนังสือเองก็เป็นการดึงเอาประสบการณ์ชีวิตของผู้เขียน เฮเลน ฟิลดิ้ง มาเช่นกัน “นี่อาจเป็นบทตอนที่เยี่ยมที่สุดในบรรดาบทภาพยนตร์สี่ตอนที่ผมได้อ่านมาเลยครับ” แกรนท์บอก “มันน่าประทับใจอย่างมาก และถือว่าใกล้เคียงกับหัวใจของเฮเลน ฟิลดิ้งอย่างมากครับ”



แกรนท์ยังสนุกกับโอกาสที่ได้ทำงานกับเรเน่ เซลเวเกอร์อีกครั้ง “เรเน่เป็นหนึ่งในนักแสดงเพียงไม่กี่คนที่ผมชอบมากจริงๆ ครับ เธอสดใส ไม่ทำตัวไร้สาระ และเป็นอัจฉริยะในสิ่งที่เธอทำ เธอดีจนต้องเกรงใจ แต่เธอก็เป็นคนง่ายๆ ด้วย ไม่มีอะไรที่ไรสาระหรือทำตัวยิ่งใหญ่ แล้วเธอก็เข้าใจบริดเจ็ท ผมได้ยินเธอเอ็ดตะโรใส่สัตวแพทย์ทางโทรศัพท์ แล้วเธอก็เอ็ดตะโรด้วยสำเนียงอังกฤษด้วย”
เซลเวเกอร์บอกว่าสำหรับเธอและแกรนท์ ประสบการณ์ที่ได้แสดงเป็นตัวละครสองตัวนี้ด้วยกันมาตลอดสองทศวรรษ ทั้งไม่ธรรมดาและสนุกอย่างมาก “ช่างเป็นพรที่หาได้ยากและล้ำค่ามากที่ได้มาแบ่งปันประสบการณ์เหล่านี้ด้วยกัน และทำให้ตัวละครเหล่านี้และเรื่องราวเหล่านี้มีชีวิตขึ้นมา ฮิวจ์กับฉันพบว่าเรื่องราวเหล่านี้มีความหมายกับผู้คนอย่างมีนัยสำคัญ นั่นคือสิ่งที่ทั้งเจ๋งและหาได้ยากมากที่เราจะแบ่งปันกันได้ค่ะ”
แกรนท์บอกว่าอย่างน้อย ส่วนหนึ่งของความสำเร็จระดับโลกของแฟรนไชส์เรื่องนี้มาจากข้อเท็จจริงที่ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เคยหลีกเลี่ยงความเป็นอังกฤษของพวกเขา มันอาจดูขัดแย้งกับสิ่งที่คาดหวังโดยสัญชาตญาณ แต่ความพิเศษนั้นก็ทำให้ภาพยนตร์ชุดนี้มีความเป็นสากลอยู่ “ผมแน่ใจเลยว่าถ้าคุณต้องการผลงานที่เป็นที่น่าสนใจในระดับสากล คุณควรทำให้มันมีความเป็นท้องถิ่น และจำเพาะมากที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ครับ ไม่สำคัญหรอกว่าส่วนไหนของชีวิตที่คุณนำเสนอจะถูกต้องไหม ถ้าคุณรักมัน และคุณนำเสนออย่างดี มันก็จะมีเสน่ห์ดึงดูดใจระดับสากลเองครับ”
เตรียมหลงรักความเปิ่นของบริดเจ็ทเวอร์ชั่นคุณแม่ลูกสอง (แต่ยัง) หลงหนุ่มหนักมาก ใน Bridget Jones : Mad About The Boy เข้าฉาย 12 กุมภาพันธ์นี้