ผลงานจาก Apple Original Films และผู้สร้างภาพยนตร์จากเรื่อง Top Gun: Maverick สู่ภาพยนตร์แอ็คชั่นสุดระทึก เรื่อง F1 นำแสดงโดย แบรด พิตต์ กำกับฯ โดย โจเซฟ โคซินสกี อำนวยการสร้างบริหารฯ โดยเจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์, โคซินสกี แชมป์โลก FORMULA 1 ถึง 7 สมัย ลูอิส ฮามิลตัน, พิตต์, ดีดี้ การ์ดเนอร์, เจเรมี่ คลีเนอร์ และ แชด โอมาน
ซอนนี่ ฮาเยส (แบรด พิตต์) ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘สุดยอดที่สุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน’ เขาเป็นตัวเต็ง FORMULA 1 แห่งยุค 1990 จนกระทั่งเขาเกิดอุบัติเหตุบนลู่จนเกือบจบอาชีพตัวเอง 30 ปีต่อมา เขารับจ้างแข่งรถตามที่ต่างๆ จนได้พบกับอดีตเพื่อนร่วมที่ม รูเบ็น เซอร์แวนเทส (ฮาเวียร์ บาร์เด็ม) เจ้าของทีม FORMULA 1 ที่ต่อสู้ดิ้นรนบนเส้นทางที่เกือบจะพังทลาย รูเบ็นชวนซอนนี่กลับมาร่วมทีม FORMULA 1 ครั้งสุดท้าย เพื่อกอบกู้ทีมและกลับมาเป็นสุดยอดของโลก เขาต้องขับรถคู่กับโจชัว เพียร์ซ (แดมสัน ไอดริส) เด็กใหม่ของทีม ผู้มีความฝันที่จะต้องหาเส้นทางของตัวเอง เมื่อเครื่องยนต์เสียงดังกระหึ่มขึ้น อดีตของซอนนี่ได้กลับมาเตือนเขาและเขาได้พบว่าที่ FORMULA 1 เพื่อนร่วมทีมคือคู่แข่งที่ดุเดือดที่สุด และเส้นทางของการกอบกู้ชื่อเสียงคือถนนที่เราไม่สามารถเดินทางเพียงลำพังได้
ภาพยนตร์เรื่อง F1 ยังนำแสดงโดยแดมสัน ไอดริส, เคอร์รี่ คอนดอน, โทเบียส เมนซีส์, คิม บอดเนีย และ ฮาเวียร์ บาร์เด็ม ถ่ายทำระหว่างช่วงสุดสัปดาห์ที่จัดงาน Grand Prix โดยทีมงานต้องถ่ายทำแข่งกับกลุ่มกองทัพกีฬาขนาดใหญ่ยักษ์
โคซินสกี้กำกับฯ จากบทภาพยนตร์ของเอห์เรน ครูเกอร์ อำนวยการสร้างบริหารฯ โดย แดเนียล ลูปีก ทีมงานเบื้องหลังของซินสกี้ ได้แก่ ผู้กำกับภาพ คลาวดิโอ มิแรนด้า ผู้ออกแบบฉาก มาร์ค ทิลเดสลีย์ และ เบ็น มันโร ลำดับภาพโดย สตีเฟน เมอร์ริโอน ออกแบบเครื่องแต่งกายโดย จูเลียน เดย์ กำกับการคัดเลือกนักแสดงโดย ลูซี่ บีแวน ประพันธ์ดนตรีโดย ฮานส์ ซิมเมอร์
การถ่ายทำที่ความเร็ว 200 ไมล์ต่อชั่วโมง
เหตุผลหนึ่งที่เรื่อง Top Gun: Maverick สร้างความตื่นเต้นให้ผู้ชมทั่วโลกได้คือ โคซินสกี้ สามารถพาพวกเขามาอยู่ในห้องนักบินรบได้อย่างไม่เคยมีมาก่อน สำหรับเรื่อง F1® The Movie โคซินสกี้ก็ต้องการแบบเดียวกันในโลกแข่งรถ
“ลูอิสเล่าว่าเขาไม่เคยเห็นหนังเรื่องไหนที่ถ่ายทอดประสบการณ์การอยู่ในรถเลย นั่นคือเป้าหมายของเรา” โคซินสกี้กล่าว การจะสร้างขึ้นมาได้โคซินสกี้และบรัคไฮเมอร์ตั้งใจจะสร้างหนังที่สนุกในโรงไอแมกซ์ได้ ซึ่งเป็นจอที่ชวนอินที่สุดในโลก “มีนักแข่งรถ Formula 1 เพียง 20 คน นั่นคือเหตุผลที่เรามีไอแมกซ์ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน” บรัคไฮเมอร์กล่าว “ความสนุกของหนังแข่งรถในโรงไอแมกซ์คือเราจะรู้สึกเหมือนอยู่ในรถบนจอยักษ์ เสียงต่างๆ ที่ได้ยิน ได้เห็นรถหลายคัน และเรื่องราวที่เราสร้างผ่านหนังเรื่องนี้คือประสบการณ์ที่สร้างความตื่นเต้นมาก”
แต่แม้ว่าโคซินสกี้และเพื่อนร่วมงานประจำอย่างผู้กำกับภาพเจ้าของรางวัล Oscar® คลาวดิโอ มิแรนด้า จะผ่านประสบการณ์ในการพาผู้ชมเข้าสู่ดินแดนที่ไม่เคยไปมาก่อนแล้ว การถ่ายทำเรื่อง F1® The Movie ก็ยังสร้างความท้าทายสูงกว่าเรื่อง Top Gun: Maverick “สำหรับเครื่องบินรบ เราสามารถเอาอุปกรณ์กล้องหนัก 40 หรือ 60 ปอนด์ใส่เข้าไปได้โดยไม่ส่งผลอะไร มันถูกสร้างมาให้แบกของน้ำหนักเยอะกว่านั้นได้” โคซินสกี้กล่าว “แต่สำหรับรถ Formula 1 ทุกกิโลกรัมส่งผลที่ต่างกัน การเอาน้ำหนักใส่ลงไปจะทำให้รถช้าลง และนั่นส่งถึงประสบการณ์ที่เราพยายามถ่ายทอดออกมา” เพราะแบบนี้ทีมผู้สร้างภาพยนตร์จึงต้องระวังกว่าการสร้างเรื่อง Top Gun: Maverick
สำหรับการสร้างภาพในจินตนาการของเขาเพื่อเรื่อง F1® The Movie โคซินสกี้ร่วมงานกับมิแรนด้าฝ่าฟันความท้าทาย 3 ด้าน: กล้องต้องมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบาแต่เก็บภาพได้อย่างมีคุรภาพ สะท้อนพลังตามที่ผู้ชมคาดหวังบนจอที่ใหญ่สุดของโลก อย่างที่สองคือกล้องต้องเคลื่อนที่ได้ ซึ่งเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ เพราะอย่างที่ 3 คือกล้องอีกหลายตัวต้องควบคุมผ่านความถี่วิทยุ โดยสัญญาณไม่ขาดหายเมื่อระยะทางไกลหลายกิโล ความท้าทายทั้ง 3 นั้นทำให้เกิดเทคโนโลยีใหม่
สถิติหากกล้องตัวใหม่อยู่ตำแหน่งนี้ เราจะสามารถติดตามการแสดงได้ไหม? สูงเท่าไหร่? ขนาดเท่าไหร่?
กล้องใหม่ที่มิแรนด้าและโซนี่เรียกว่าคาร์เม็น พื้นฐานแล้วคือ ‘เซ็นเซอร์บนไม้ ตามที่มิแรนด้าอธิบาย
ผู้สร้างภาพยนตร์มีกล้อง 15 จุดบนรถแต่ละคันที่จะเลือกเก็บภาพ พร้อมกับรถแข่งอีกหลายคันทำให้พวกเขาเก็บภาพมุมแปลกได้ถึง 12 จุดในเวลาเดียวกัน กล้องทั้งหมดสามารถหันมุมกว้างและเอียงได้ ไมใช่แค่การถ่ายจากจุดที่ตั้งไว้นิ่งๆ ซึ่งเป็นการพัฒนาขึ้นมาใหม่อย่างหนึ่ง
กล้องเหล่านี้ทำให้มิแรนด้ามีอิสระในการสร้างทุกมุมอย่างที่โคซินสกี้ต้องการ ซึ่งบางมุมจะคุ้นตาแฟน F1 ที่เห็นเวลาถ่ายทอดการแข่ง และอีกหลายมุมเป็นมุมใหม่ที่เหมือนภาพยนตร์มาก (บางมุมใหม่สำหรับการถ่ายทอดการแข่งขัน F1 ด้วยซ้ำ)
การเก็บภาพฟุตเทจเองก็ต้องอาศัยความทันสมัยจากคลื่นวิทยุความถี่ เทคโนโลยีไร้สายที่เก็บภาพห่างออกไปหลายไมล์โดยที่ไม่รบกวนสัญญาณการถ่ายทอดการแข่งขัน
กล้องของโซนี่ไม่ใช่แค่กล้องเดียวที่ใช้ในการถ่ายทำ แม้จะมีมิตรภาพกับ Formula 1 ก็ตาม ผู้สร้างภาพยนตร์ได้ติดต่อทีมงานที่ Apple เพื่อพาผู้ชมเข้าไปอยู่กลางฉากแอ็คชั่น มุมที่มีเอกลักษณ์ถ่ายทอดออกมาในทุกการถ่ายทอดการแข่ง F1 มาจากกล้องที่ฝังเอาไว้ข้างรถ F1 ส่วนกล้องอื่นๆ จะอยู่ตำแหน่งที่เหมาะสม พวกมันจะเก็บภาพฟุตเทจสำหรับการถ่ายทอดสดเอาไว้ยามจำเป็น ซึ่งเป็นความงดงามที่ต่างจากการเก็บภาพฟุตเทจจากภาพยนตร์แนวนี้หรือไอแมกซ์
การร่วมงานกับ F1, Fédération Internationale de l’Automobile (FIA), ผู้กำกับฯ โจเซฟ โคซินสกี้ ตากล้องคลาวดิโอ มิแรนด้า และทีมวิศวกรแห่ง Apple ได้พัฒนาหาทางนำฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และวงจรที่มีคุณภาพเพื่อทำให้ระบบกล้องบน iPhone ใช้ในรถแข่ง F1 ได้สมจริง ทีม Apple ได้หาทางออกโดยการจับคู่กล้องตัวเล็กติดตั้งบน F1 เพื่อการออกแบบและความทนทาง สิ่งที่ได้ประกอบด้วยการออกแบบกล้องเซ็นเซอร์ของ iPhone ที่มีขุมพลังจากซลิกอนชิป A-series Apple รันระบบ iOS และเฟิร์มแวร์กล้องพิเศษ ทำให้เกิดการผสมผสานนวัตกรรมและความเรียบง่ายที่เพอร์เฟ็กต์ ระบบกล้องติดตั้งแบบใหม่นี้ไม่สามารถแยกจากภายนอกกได้ เหมาะกับข้อจำกัดของทีมที่มาร่วมงาน Formula One
กล้องที่มีพลังเหล่านี้ถ่ายทอดความละเอียดสูงและเก็บบันทึกภาพฟุตเทจสุดตื่นเต้นอย่างที่เราต้องการ การแข่งขัน Formula One ทุกครั้งทั่วโลกควรเป็นแบบไหน ระหว่างการถ่ายทำช่วงสุดสัปดาห์ที่ Grand Prix มีการติดตั้ง 2 หรือบางครั้ง 3 รถ Formula One จริงระหว่างการถ่ายทำ เก็บภาพสุดตื่นเต้นและความสนุกสนานของการแข่งอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนบนหน้าจอ
สุดท้ายโคซินสกี้เชื่อว่าภาพยนตร์ของเขาจะตรงตามความท้าทายของฮามิลตัน “ผมคิดว่าเราสามารถถ่ายทอดสิ่งที่เราหาไม่ได้จากการถ่ายทอดการแข่งขัน” เขากล่าว “เราสามารถติดกล้องในมุมที่การออกอากาศไม่สามารถทำได้ เรามีการถ่ายทำด้วยกล้องคุณภาพภาพยนตร์ที่ทำให้ได้มุมและประสบการณ์คุ้นตาจากทีวี เมื่อทุกอย่างรวมเข้ากันแล้วผมหวังว่าผู้ชมจะได้สัมผัสเศษเสี้ยวเท่าที่ลูอิสคาดหวังเอาไว้เวลาที่เขาอยู่ใน Grand Prix”
ฮามิลตันเห็นด้วยว่าภารกิจสำเร็จด้วยดี “สิ่งที่โจสร้างขึ้นมากับกล้องพวกนี้ พร้อมทีมงานของเขาในการถ่ายทอดสปีดที่สมจริงในช่วงเวลาจริง” เขากล่าว “มันคือความสุขและนั่นคือความอัจฉริยะของเขา”
เตรียมสัมผัสประสบการณ์ความเร็วสุดท้าทายเสมือนลงสนามแข่งด้วยตัวเอง ใน F1® The Movie กำหนดฉายในโรงภาพยนตร์ 26 มิถุนายนนี้