มุมมองของทีมนักแสดงในผลงานตอนใหม่จากแฟรนไชส์เลือดสาดที่สร้างความสำเร็จให้นิวไลน์ ซีเนม่า จะพาผู้ชมย้อนกลับไปหาจุดเริ่มต้นของการพลิกลำดับความตายในเรื่อง Final Destination Bloodlines เมื่อเหตุการณ์ความรุนแรงได้กลับมาสร้างฝันร้ายขึ้นอีกครั้ง นักศึกษาวิทยาลัย สเตฟานี กลับบ้านเพื่อตามหาคนหนึ่งที่อาจเป็นผู้ทำลายวงจร และช่วยครอบครัวของเธอจากการตายอันน่าสยองที่เฝ้ารอทุกคนอยู่อย่างเลี่ยงไม่ได้
เคทลิน แซนต้า ฮัวน่า รับบท สเตฟานี่
“เธอเป็นนักเรียนวิทยาลัยที่ฉลาดมาก เป็นเด็กเรียนอยู่อันดับท็อปของชั้น แต่เธอต้องทรมานจากฝันร้ายที่คอยขวางไม่ให้เธอใช้ศักยภาพอย่างเต็มกำลัง จากั้นเธอกลายเป็นแอ็คชั่นฮีโร่ขึ้นมาทันที”
ช่วงแรกของการประชุมกับผู้สร้างภาพยนตร์ ซานต้า ฮัวน่า เล่าว่า “ฉันเล่าถึงภาพของเธอออกมา บางทีอาจเป็นเรื่องที่มีความเป็นส่วนตัวไปสักหน่อย แต่ฉันคิดว่าสเตฟานีมี 3 ร่างตลอดทั้งเรื่อง เธอดูเป็นคนลึกลับในช่วงแรก พยายามหาคำตอบว่าเพราะอะไรถึงฝัน และทำไมมันเกิดขึ้นซ้ำๆ เมื่อเธอรู้เหตุผลก็กลายเป็นผู้ปกป้องครอบครัว จนสุดท้ายเธอกลายเป็นผู้อยู่รอดจากทุกอย่างที่เธอและครอบครัวผ่านพ้นมา”
ทีโอ บริโอเนส รับบท ชาร์ลี น้องชายของสเตฟานี่
ทีโอเป็นแฟนตัวยงของแฟรนไชส์ “FINAL DESTINATION 3 เป็นหนึ่งเรื่องโปรดของผมตลอดกาล” พร้อมเล่าถึงการร่วมงานระหว่างเขากับซานตา ฮัวน่า ว่า “มิตรภาพของผมกับความผูกพันที่มีกับพี่สาวตัวเองคือเรื่องสำคัญในชีวิต การได้สร้างความผูกพันนั้นขึ้นอีกครั้งในหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พิเศษมาก เคทลินเป็นคนที่น่าทึ่ง เธอร่วมงานด้วยอย่างง่ายดาย เวลาเข้าฉากไม่รู้สึกว่ากำลังแสดงกันอยู่เลย แต่รู้สึกเหมือนคุยกับพี่สาวมากกว่า”
ริชาร์ด ฮาร์มอน รับบท เอริค ลูกพี่ลูกน้องของสเตฟานี่
การแต่งหน้าของฮาร์มอนต้องใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมงทุกวัน ทีมแต่งหน้าเอ็ฟเฟ็กต์ 3 คนแปลงโฉมเอริคให้มีรอยสักหลายลายและมีความซับซ้อน รวมถึงห่วงตรงจมูกและหัวนมปลอม (ที่จะมีการติดห่วง) ฮาร์มอนได้ร่วมงานกับ ทอดด์ มาสเตอร์ส ผู้ชำนาญด้านแต่งหน้าเอ็ฟเฟ็กต์มากอนหน้านี้แล้ว เขาเล่าว่า “ทอดด์คอยดูแลผมหลายครั้งแล้วในช่วง 22 ปีที่ผ่านมา เขาทั้งฆ่าผม ทำให้ผมพิการ ทำให้เสียโฉม ตัดหัวผมอีกหลายครั้งด้วย นี่จึงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่รู้สึกสนุกมากกับเขา”
โอเว่น แพทริค จอยเนอร์ รับบท บ็อบบี้ ลูกพี่ลูกน้องของสเตฟานี่
“สิ่งที่สนุกกว่าการดูพวกเราตายต่อหน้ากล้อง คือการดู [ผู้อำนวยการสร้างฯ] เครกและชีล่า พวกเขาเหมือนเสียงจากมุมผู้ชม มันสนุกมากที่ได้เห็นทุกอย่างมารวมกันและนึกภาพว่ามันจะออกมาลงตัวได้อย่างไร คุณจะบอกได้เลยว่าต้องใช้เวลาเยอะมาก ต้องระดมสมองอย่างหนักเพื่อให้แน่ใจว่าการตายนั้นโดนจุดชนวนอย่างลงตัว พวกเขาจะเข้ามากลางฉากและพูดว่า ‘เราควรเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้ไหม? แบบนี้ดูน่าเชื่อกว่าไหม?’ พวกเขามีความใส่ใจมาก และมันก็สนุกมากเวลาได้ดู”
จอยเนอร์มาเข้ากองถ่ายพร้อมความตั้งใจว่าจะเก็บตัวอยู่ในความมืด หลังจากได้รับบทเขาตั้งใจวาจะไม่ดูหนังเรื่องก่อนในแฟรนไชส์เลย “ผมไม่ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับมันเลย แต่ผมคิดว่ามันคงสนุกกว่าหากจะไม่ดูและมาเข้าฉากพร้อมมุมมองที่ตื่นเต้น แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจกับแผนนั้นซะทีเดียว น่าจะเป็นไอเดียที่แย่หรือเปล่า?”
แอนนา ลอร์ รับบท จูเลีย ลูกพี่ลูกน้องของสเตฟานี่
“จูเลียเป็นพวกชอบเสียดสี” เธอว่า “ฉันไม่ได้มองว่าเธอเป็นคนอบอุ่น แต่เธอรักครอบครัวและคอยปกป้องพี่น้องของเธอ ตอนที่สเตฟานี่เปิดเผยแผนการตายที่กำลังจะมาเยือนพวกกเขา จูเลียขี้สงสัยมาก ฉันรู้สึกว่าเธอไม่เข้าใจมันเลยสักนิด เธอกลอกตาไปมาให้กับทุกสิ่ง แต่เราก็ได้พบว่าความตายคือสิ่งเดียวที่เราไม่อาจจะกลอกกลิ้งตาให้กับมันได้”
“ฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้ต่างจาก FINAL DESTINATION ภาคอื่น เพราะมันจะทำร้ายจิตใจคุณอยู่บ้าง” ลอร์กล่าว “หนังทั้งเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในครอบครัว ยิ่งเรารักครอบครัวนี้เท่าไหร่ ตอนจบก็ยิ่งเศร้ามากขึ้นเท่านั้น สิ่งหนึ่งเกี่ยวกับ FINAL DESTINATION คือไม่ควรมีใครได้รับมัน”
เธอเล่าถึงการเตรียมตัวออดิชั่นและการอ่านฉากที่มีความทรมานกับน้องชายของเธอ “ฉันกรี๊ดตลอดทั้งฉากเลย หลังจากนั้นเขาพูดว่า ‘มันวิเศษมากเลยนะ รู้ไหม?’ เขาดูผิดหวังเล็กน้อย และฉันพูดว่า ‘โอ้ ไม่นะ ฉันขอโทษ!’ ฉันไม่ควรใช้งานเขาเลยเพราะฉันให้น้องชายดูฉันกรี๊ด ร้องไห้ และดูสับสนนานถึง 2 นาทีเลย!”
รยา คิลส์เตดต์ รับบท ดาร์ลีน แคมป์เบลล์ แม่ของสเตฟานี่
“สิ่งหนึ่งที่ฉันรักใน FINAL DESTINATION BLOODLINES คือการมีผู้หญิง 3 ช่วงวัย ในเรื่องมีทั้งไอริส ดาร์ลีน และสเตฟานี่ ดาร์ลีนคือคุณแม่ที่อยู่ระหว่างผู้หญิง 2 ยุค และสายสัมพันธ์ระหว่างแม่-ลูก แบบแผนที่ดูไม่ชัดเจน เมื่อภาพยนตร์เปิดเผยเรื่องราวคุณจะเข้าใจว่าดาร์ลีนทิ้งลูก 2 คนกับสามีไป ช่วงเวลาหลายปีเธอถูกเรียกว่าเป็นคนบ้า ไม่ต่างกับแม่ของเธอเองที่เรียกว่าเธอบ้า เพราะเธอคิดว่าตัวเองเห็นความตายทั่วทุกแห่ง แต่ตาร์ลีนยังเห็นความตายอยู่ทุกที่และไม่สามารถรับมือกับความกลัว ความกังวล หรือนึกภาพได้ว่าจะการเห็นความตายทุกที่จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงและความกังวลให้กับการเลี้ยงลูก 2 คน เธอรู้ว่าความกลัวของตัวเองจะทำให้เธอเป็นเหมือนแม่ของเธอเองหากไม่หนีไป มีฉากหนึ่งเธอบอกสเตฟานี่ว่าเธอทิ้งไปเพราะนั่นคือทางเดียวที่จะปกป้องเธอกับพี่น้องเธอได้”
คิลส์เตดต์เล่าว่า “ฉันคิดว่าส่วนที่มีความน่าสนใจและมีความซับซ้อนคือการรวมผู้หญิง 3 ยุคในเรื่อง ไอเดียของกลุ่มครอบครัว และการเป็นแม่ของใครสักคน ทางเลือกของเราและการเป็นตัวเรา รวมถึงการรวมตัวของคนหลายช่วงวัยเพื่อมาเผชิญหน้ากับการตามล่าจากความตาย ตาร์ลีมีความหวาดกลัวและกังวล แต่ไม่เห็นภาพอย่างเต็มตาเท่าไอริสซึ่งตอนนี้สเตฟานี่เห็นภาพแบบนั้น ในเรื่อง FINAL DESTINATION จะเห็นวงจรชีวิตที่มีความน่าสนใจ ส่วนพวกเราก็ต้องวิ่งหนีความตาย แสดงผาดโผนและผ่านการตายประหลาดๆ ทุกอย่างทำให้ไม่มีเวลาจะเศร้าโศกอะไรกับใคร เพราะเราต้องมีชีวิตอยู่รอดให้ได้ ฉันคิดว่านั่นคือความน่าสนใจของเรื่องราวค่ะ”
เบร็ค บาสซิงเกอร์ รับบท ไอริส
บทของเธอคือสาววัยรุ่นที่ปรากฎตัวเมื่อปี 1969 บาสซิงเกอร์เล่าว่า “มันวนเวียนราวกับเป็นอมตะ ฉันไม่เคยอยู่บนโลกที่ไม่มี FINAL DESTINATION เลย การเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้มันช่างเหลือเชื่อมาก!”
ความผูกพันของบาสซิงเกอร์ที่มีต่อแฟรนไชส์ลึกซึ้งกว่าการที่ไม่เคยอยู่ในโลกที่ไม่เคยมีหนังเรื่องนี้ เธอเคยร่วมงานกับสตีนในตอนที่เขากำกับฯ เมื่อหลายปีก่อน และอาลี ลาร์เตอร์ นักแสดงจากหนัง FINAL DESTINATION สองภาคแรกรับบทแม่ของเธอในเรื่อง The Man in the White Van บาสซิงเกอร์เล่าว่าเคยถามลาร์เทอร์ทุกเรื่องเกี่ยวกับความนากลัวของหนังเรื่องนี้ เธอเล่าว่า “และตอนนี้การได้รับบทในเรื่อง! มันสนุกมากที่ได้ส่งข้อความหาอาลีและบอกเธอว่ากำลังตามรอยเธอตอนที่ได้มาแคสต์เรื่องนี้”
ก่อนที่พื้นกระจกเต้นรำจะถล่มช่วงคืนสำคัญของไอริสที่สกายวิวเมื่อปี 1969 ไอริสและพอลหาเพลงคลาสสิคยุค 60 อย่าง Shout มาฟัง “เราเต้นรำกันถึง 2 วัน” บาสซิงเกอร์เล่า “นั่นเป็นช่วง 2 วันที่ฉันชอบมากในฉาก มันสนุกมากเลย ไม่มีทางเศร้าได้ในช่วงกำลังกรโดดและเต้นรำ แต่สุดท้ายแล้วในการถ่ายทำฉันต้องฟังเพลงนั้นพร้อมกับพื้นเต้นรำที่กำลังแตก น้ำตาเริ่มไหลลงบนใบหน้า มีเสียงกรี๊ดจากการเห็นคนตายและการถล่มในทุกแห่ง ฉันดาวน์โหลดเพลงจากหนังภาคก่อนๆ มาเตือนตัวเองและซ้อมท่าทาง แต่หลังจากถ่ายนั้นเสร็จ ครั้งต่อมาที่เปิดเพลย์ลิสต์ฉันกลับรู้สึกว่าเปลี่ยนเถอะ ไม่สามารถย้อนกลับไปหามันได้แล้ว!”
โทนี่ ทอดด์ รับบท บลัดเวิร์ธ
“ผมคิดว่าบลัดเวิร์ธใช้เวลาในชีวิต 80% กับห้องเก็บศพ” ทอดด์ผู้ร่วมแสดงในแฟรนไชส์เป็นครั้งที่ 5 กล่าว “เขาคุ้นเคยกับศพ เหตุการณ์ประหลาด และเรื่องเหนือธรรมชาติ ทุกไมกี่ปีเขาจะพบกับคนกลุ่มใหม่ บางคนเชื่อ บางคนไม่เชื่อ เขาพยายามประคองพวกเขาให้อยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย”
ในเรื่องนี้เราได้รู้ถึงต้นกำเนิดของบลัดเวิร์ธ การรับบทตัวละครนี้ในภาพยนตร์ 4 ตอนก่อน ทอดด์ปูอดีตของตัวละครเอาไว้เรียบร้อยแล้ว “ผมมาจากละครเวที” เขากล่าว “ผมดีใจที่ได้แสดงละครบรอดเวย์ 3 ครั้งและมันเป็นการทำงานที่เราต้องรับผิดชอบหน้าที่นักแสดง ถ่ายทอดผลงานนั้นออกมา อดีตของเราเป็นอย่างไร เราต้องการอะไร อะไรมีผลต่อตัวเราและมุมมองของเรา ไม่ว่ามันจะอยู่ในบทหรือไม่ก็ตาม ผมต้องสร้างมันขึ้นมา ผมรักบลัดเวิร์ธ เขาเป็นคนน่าสนใจและมีความลึกลับ ผมรับผิดชอบหน้าที่ในหนังเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ผมต้องสร้างตัวละครนี้ให้เข้าใจได้ เขาเป็นใครและมาจากไหน กระตือรือร้นกับการทำงานเหมือนเป็นอาหารจานหนึ่ง”
FINAL DESTINATION BLOODLINES กำหนดฉายในโรงภาพยนตร์ 22 พฤษภาคมนี้