Tom Cruise - Christopher McQuarrie กับ 3 ทศวรรษของปฏิบัติการสะท้านโลก ใน MISSION: IMPOSSIBLE – THE FINAL RECKONING

“สิ่งต่างๆ ที่เราทำน่ะเพื่อน…” ทอม ครูซ กล่าว พร้อมกับรอยยิ้มกว้าง “สิ่งที่เราทำ” ผู้อำนวยการสร้างและนักแสดงคนดังกำลังดื่มด่ำกับช่วงเวลาสงบสุขที่หาได้ยากยิ่งเพื่อเล่าให้เราฟังถึงระยะเวลาสามทศวรรษของปฏิบัติการสะท้านโลกที่แปลกใหม่และสะเทือนอารมณ์มากขึ้นเรื่อยๆ “ใน Mission: Impossible ไม่มีวันไหนเลยซักวันที่เป็นวันง่ายๆ และผมก็ไม่อยากให้มันเป็นอื่น”

จนถึงตอนนี้ อีธาน ฮันท์ ตัวละครสุดยอดสายลับในตำนานของครูซ ได้ทำให้ชื่อของทั้งคู่มีความหมายเทียบเท่ากับการทำในสิ่งที่เหลือเชื่อให้สำเร็จลงได้ แต่ใน The Final Reckoning ภาคที่แปดที่น่าพึงพอใจและชวนตกตะลึงของเรื่องราวที่ตอนนี้มีอายุ 30 ปีแล้ว พวกเขาทั้งคู่กำลังจะได้เผชิญหน้ากับความท้าทายที่ซับซ้อนและอันตรายที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเจอมา

เมื่อพิจารณาถึงความสูงที่ตัวละครตัวนี้ได้พาครูซไปถึง ทั้งในแบบตรงตัวและเปรียบเปรย นับตั้งแต่ที่เขาได้เปิดตัวแฟรนไชส์นี้ในปี 1996 การสร้างสิ่งที่ยอดเยี่ยมกว่าเดิมอีกครั้งต้องอาศัยความมุ่งมั่นที่หาตัวจับยาก กำลังกายที่ไม่มีใครเทียบได้และความกล้าหาญที่สร้างสรรค์

ผู้สร้างแฟรนไชส์ที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้เคยตั้งข้อสังเกตเอาไว้แล้วว่าแฟรนไชส์เรื่องนี้ไม่ใช่ Mission: Difficult ซักหน่อย แต่แม้กระทั่งตามมาตรฐานที่เข้มงวดที่พวกเขาตั้งเอาไว้ให้กับตัวเองอย่างต่อเนื่อง The Final Reckoning ก็นับได้ว่าเป็นความสำเร็จที่พิเศษสุด มันเป็นจดหมายรักที่มอบสำหรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และเป็นเรื่องราวน่าตื่นตาตื่นใจเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณที่ก้าวไปสุดขอบของสิ่งที่สามารถเป็นไปได้บนหน้าจอ

โดยส่วนตัวแล้ว ครูซยิ่งกว่าภูมิใจกับสิ่งที่ผู้ชมกำลังจะได้สัมผัส กับเรื่องราวที่นำเสนอส่วนผสมที่พลุ่งพล่านอย่างมีเอกลักษณ์ระหว่างตัวละครที่มีมิติและพลังในการถ่ายทำ เรื่องราวที่แน่นอนว่าเหนือกว่าทุกภาคที่มีการสร้างมาก่อนหน้านี้ แต่ก็ถือกำเนิดมาจากมันเช่นกัน

“หนังเรื่องใหม่นี้เป็นความสำเร็จที่ใหญ่โตมโหฬารครับ” ครูซกล่าว “มันเป็นบทสรุปของทุกอย่างและผมหมายถึงทุกอย่างจริงๆ ทุกอย่างที่ผมและแม็คคิว [คริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์ ผู้ที่กำกับสี่ภาคล่าสุดของแฟรนไชส์นี้] ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเล่าเรื่องตลอดระยะเวลาที่เราสร้างหนังพวกนี้ The Final Reckoning มีทั้งความสง่างาม ความสลับซับซ้อนและอลังการอย่างเหลือเชื่อ เราสามารถทำในสิ่งที่เราทำไปได้ก็เพราะสิ่งต่างๆ ที่เราได้ทำไปแล้วในแฟรนไชส์นี้จนถึงตอนนี้ครับ”

ลองพิจารณาถึงสิ่งที่พวกเขาทำมาจนถึงตอนนี้สิ ตั้งแต่การปีนตึกเบิร์จ คาลิฟาใน Ghost Protocol ภาพยนตร์ Mission ที่ครูซได้ใช้ประโยชน์จากความชำนาญในการเขียนบทของแม็คควอร์รีย์เป็นครั้งแรกในปี 2011 ไปจนถึงการได้เห็นครูซเกาะอยู่ด้านนอกเครื่องบินที่กำลังเหินฟ้าใน Rogue Nation ซึ่งเป็น Mission เรื่องแรกของแม็คควอร์รีย์ในฐานะผู้กำกับ และการกระโดดออกจากเครื่องบินที่กำลังบินอยู่ในระดับความสูง 25,000 ฟุตใน Fallout พวกเขาได้นำเสนอภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมเรื่องแล้วเรื่องเล่าในแบบที่เราไม่เคยได้ดูนับตั้งแต่บัสเตอร์ คีย์ตันได้ดิ้นรนหนีตายอยู่ด้านหน้ารถไฟที่กำลังเคลื่อนที่ใน The General ซึ่งนั่นก็เป็นปี 1926 โน่นแน่ะ

“พวกเขาเป็นวิญญาณแห่งโลกภาพยนตร์ที่เราไล่ตามอยู่เสมอครับ” แม็คควอร์รีย์กล่าว “ทอมดูตัวอย่างจากนักแสดงอย่างบัสเตอร์ คีย์ตัน รวมไปถึงดักกลาส แฟร์แบงค์และชาร์ลีย์ แชปลิน เหล่าคนที่แสดงหนังแอ็กชัน ที่เป็นทั้งดรามา คอเมดี โศกนาฏกรรมและชัยชนะด้วย ที่สร้างมาตรฐานและปูพื้นไปสู่จุดที่กลายเป็นต้นกำเนิดของภาพยนตร์สมัยใหม่ครับ” และก็ไม่มีคนไหนที่ขี่มอเตอร์ไซค์ดิ่งลงหน้าผา เหมือนอย่างที่ครูซทำใน Dead Reckoning

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ Mission: Impossible กลายเป็นแฟรนไชส์ที่ไม่เพียงแต่เป็นใบเบิกทางให้กับอาชีพนักแสดงของครูซเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความทุ่มเทของเขาที่มีต่อศิลปะแขนงนี้อีกด้วย ความทุ่มเทนี้ไม่ได้เพียงแต่สำหรับผู้ชมของเขาและตัวละครที่พวกเขารักเท่านั้น แต่ยังสำหรับความเชี่ยวชาญที่โดดเด่นของเขาทั้งต่อหน้าและด้านหลังกล้อง เป็นความทุ่มเทที่มีต่อประสบการณ์ภาพยนตร์นั่นเอง

Tom Cruise and Christopher McQuarrie on the set of Mission: Impossible – The Final Reckoning from Paramount Pictures and Skydance.
Director Christopher McQuarrie, Ving Rhames and Tom Cruise on the set of Mission: Impossible – The Final Reckoning from Paramount Pictures and Skydance.

Mission Begins

วันหนึ่งในช่วงต้นปี 2013 เวลาประมาณตีสี่ ในโรงแรมแห่งหนึ่งนอกชายฝั่งทางใต้ของอังกฤษ คริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์ได้ตระหนักเป็นครั้งแรกว่าเขาจะต้องกำกับภาพยนตร์เรื่อง Mission: Impossible ความทรงจำนั้นยังคงแจ่มชัดอยู่ แม้จะผ่านมาแล้ว 12 ปีเต็ม “เลือดในตัวผมเย็นเฉียบเลยครับ” เขากล่าว

ในขณะนั้น เขาและทอม ครูซกำลังถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Edge of Tomorrow โดยที่ครูซเป็นนักแสดงนำ และแม็คควอร์รีย์เป็นมือเขียนบท ส่วนคนอื่นๆ เข้านอนกันหมดแล้ว “พวกเขาน่าจะสลบกันหมดครับ” แม็คควอร์รีย์สงสัย

“มันเป็นหนังที่ท้าทายมากๆ และเป็นบทหนังที่ท้าทายมากๆ ด้วย” เขากล่าวต่อเกี่ยวกับภาพยนตร์ไซไฟเกี่ยวกับการวนซ้ำของเวลา “มันวนเวียนอยู่ในหัวเราตลอดเวลา ทอมกับผมยังคงตื่นอยู่เพื่อนั่งคิดหาทางแก้ปัญหาเกี่ยวกับบทอย่างไม่ลดละ ระหว่างที่เรากำลังคุยกัน ผมก็สังเกตเห็นว่าเขาคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่า ‘คุณน่าจะกำกับ Mission: Impossible ภาคต่อไปนะ’ สิ่งแรกที่แวบเข้ามาในหัวของผมคือความเหนื่อยล้าครับ”

ในชั่วขณะนั้น แม็คควอร์รีย์ก็ได้คิดแผนชั่วคราวขึ้นมา “ผมคิดว่า ‘ถ้าผมหลีกเลี่ยงบทสนทนานี้ไปได้ พรุ่งนี้เขาน่าจะลืมเรื่องนี้ไป…” เขาหัวเราะ “แต่ทอมก็คือทอม” สิ่งต่อมาที่แม็คควอร์รีย์รู้ก็คือ ครูซเดินออกจากห้องไปพร้อมกับกดโทรศัพท์ไปด้วย

“ผมได้ยินเขาพูดว่า ‘เฮ้ นี่ทอม ครูซนะ ขอสายแบรด เกรย์ [ประธานและซีอีโอคนเก่าของพาราเมาท์ พิคเจอร์ส] หน่อย’ ผมถูกทิ้งให้นั่งอยู่ในห้องคนเดียวกับแล็ปท็อปและเคอร์เซอร์เล็กๆ ที่กะพริบอยู่ ตาจ้องมองบทที่ยังเขียนไม่เสร็จ ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งโดยยังถือสายอยู่และคุยถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย เขาบอกว่า ‘โอเค แบรด ดีมาก ผมจะโทรหาคุณพรุ่งนี้ ขอบคุณมาก” จากนั้น เขาก็หันมาหาผมแล้วพูดว่า “คุณจะได้กำกับ Mission: Impossible’ ผมไม่เคยได้รับการทาบทามให้ทำงานนี้อย่างจริงๆ จังๆ ผมก็แค่เผชิญหน้ากับความท้าทายครับ”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม็คควอร์รีย์ต้อง ‘เผชิญกับความท้าทาย’ ในภาพยนตร์เรื่อง Mission: Impossible และแน่นอนว่าจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย “ใน The Final Reckoning หลายปีต่อมา ผมจำได้ว่าผมอยู่ในเรือดำน้ำขนาดใหญ่ ที่กลิ้งตลบกว่าพันครั้ง ท่ามกลางแท็งก์น้ำความจุ 9 ล้านลิตร และมันเป็นแค่เพียงวันทำงานธรรมดาๆ วันหนึ่งเท่านั้นเอง” เขายิ้ม

Tom Cruise on the set of Mission: Impossible – The Final Reckoning from Paramount Pictures and Skydance.
Tom Cruise and Director Christopher McQuarrie on the set of Mission: Impossible – The Final Reckoning from Paramount Pictures and Skydance.
Tom Cruise on the set of Mission: Impossible – The Final Reckoning from Paramount Pictures and Skydance.

หากต้องการเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความลึกซึ้งและพลังของความร่วมมือสร้างสรรค์ที่เป็นเอกลักษณ์ระหว่างครูซและแม็คควอร์รีย์ คุณต้องย้อนกลับไปไกลกว่า Edge of Tomorrow จนถึง Valkyrie ในปี 2008 โน่นเลย

แม็คควอร์รีย์เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนั้นด้วยมุมมองที่จะกำกับด้วยตัวเอง “แต่หลังจากหนังเรื่องแรกที่ผมกำกับ [The Way of the Gun ปี 2000 ที่ถูกมองข้าม] ไม่ประสบความสำเร็จ ก็เป็นเรื่องยากมากที่ผมจะสร้างหนังได้อีกซักเรื่อง” แม็คควอร์รีย์เล่า “ผมอยู่ในคุกผู้กำกับ ที่ห่างหายจากงานนั้นไปเจ็ดปี ผมก็ต้องต้องละทิ้งความคิดที่จะกำกับมัน” แทนที่จะเป็นแบบนั้น เขาก็เลยรับหน้าที่อำนวยการสร้าง ส่วนครูซก็แสดงนำในเรื่องนี้ และสิ่งพิเศษบางอย่างก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

“ผมโชคดีที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการกำกับหนังมากขึ้นด้วยการอำนวยการสร้างครับ” แม็คควอร์รีย์กล่าว “ผมจำได้ว่ามีคนบอกว่าผมจะได้เป็นผู้อำนวยการสร้างของเรื่อง Valkyrie ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยเป็นผู้อำนวยการสร้างหนังเลยซักเรื่อง แต่เมื่อมีโอกาสได้ร่วมงานกับทอม ผมก็ตัดสินใจว่าจะลุยเข้าประตูทุกบานที่เปิดไว้และดูว่ามันจะพาผมไปได้ไกลแค่ไหน ผมคิดว่า ‘ผมจะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าพวกเขาจะรู้ว่า ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่’ ผมไม่เคยวิตกกังวลอะไรเลยครับ ผมก็แค่ทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ทุกคืน เมื่อหัวของผมแตะหมอน ผมก็จะหันไปหาภรรยาแล้วพูดว่า ‘ทุกอย่างจะจบลงในวันพรุ่งนี้’ น่ะครับ”

แน่นอนว่าไม่ใช่ และเมื่อถึงเวลาถ่ายทำ Ghost Protocol แม็คควอร์รีย์ก็พบว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมือนใครอีกครั้ง ในภาพยนตร์เรื่องนั้น ซึ่งเป็นภาคที่ 4 ของแฟรนไชส์ Mission: Impossible ครูซได้เรียกเขาเข้ามาช่วยเขียนบท  ซึ่งเป็นการสานต่อความร่วมมือในการสร้างสรรค์ผลงาน ซึ่งในที่สุดแล้วจะทำให้แม็คควอร์รีได้กำกับภาพยนตร์อีก 4 เรื่องต่อไป

“และตอนนี้ การเดินทางทั้งหมดก็วนกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “อารมณ์และฉากแอ็กชันของหนังพวกนี้ ซึ่งค่อยๆ เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากตอนจบของ Ghost Protocol ไปจนถึง Rogue Nation, Fallout ไปจนถึง Dead Reckoning กำลังขยายตัวออกไปอย่างยิ่งใหญ่ใน The Final Reckoning”

Tom Cruise on the set of Mission: Impossible – The Final Reckoning from Paramount Pictures and Skydance.
Tom Cruise and Christopher McQuarrie on the set of Mission: Impossible – The Final Reckoning from Paramount Pictures and Skydance.
Tom Cruise on the set of Mission: Impossible – The Final Reckoning from Paramount Pictures and Skydance.

ครูซและแม็คควอร์รีย์กล่าวว่า ในหลายๆ แง่มุม กระบวนการสร้าง Mission เป็นกระบวนการของการปล่อยให้ Mission บอกคุณว่า มันอยากจะถูกสร้างออกมาอย่างไร การพิจารณากระบวนการนี้พร้อมด้วยแผนการอย่างละเอียดและความกล้าที่จะพร้อมสำหรับการละทิ้งแผนนั้นไปโดยสิ้นเชิง เพื่อฟังสัญชาตญาณของคุณและตัวภาพยนตร์เอง

“มันเป็นแบบนั้นจริงๆ” ครูซกล่าว “เรื่องราวเหล่านี้มาบรรจบกันในแบบที่คุณคิดว่า ‘นี่คือจุดที่มันจะไป และมันจะไปในทิศทางนั้นอย่างแน่นอน’ จากนั้น พอคุณมองดูมัน มันกลับไม่ได้ไปทางนั้นเลย มีจุดหนึ่งที่เรื่องราวจะบอกคุณว่าต้องการอะไร โทนของมันเป็นยังไง จนกว่าคุณจะใช้งานเลนส์นั้น จนกว่าผมจะสามารถเล่นและแสดงความคืบหน้าว่าสิ่งนี้จะสามารถทำอะไรได้บ้าง คุณก็จะไม่รู้หรอกครับ ตอนที่ผมเริ่มทำนั่นแหละ คือตอนที่เรารู้ครับ”

มันเป็นแบบนั้นกับซีเควนซ์ทางอากาศใน The Final Reckoning มันเป็นแบบนั้นตอนที่ครูซเปลี่ยนแนวทางทั้งหมด เปลี่ยนการเลือกเลนส์ และสเกลของแฟรนไชส์นี้ตอนทำงานใน Ghost Protocol ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากท้องฟ้าสดใสที่ล้อมรอบตึกเบิร์จ คาลิฟา “ผมจำได้ว่าได้ดูดูไบถูกสร้างเป็นเมือง และผมก็คิดว่า ‘นั่นคือตึกนั้น ฉันอยากปีนตึกนั้น’ ผมมีความคิดนั้นติดอยู่ในใจเสมอ” เขากล่าว และจริงๆ แล้ว มันก็เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เริ่มต้นเลย

“Mission: Impossible ภาคแรกเป็นจุดสูงสุดของฉากแอ็กชันที่เกิดขึ้นจริงครับ” ครูซกล่าว “พัดลมในรถไฟที่เป่าลมมาทางผม [สำหรับฉากต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างอีธาน ฮันท์กับจิม เฟลปส์ ที่รับบทโดยจอน วอยต์ บนหลังคาของรถไฟยูโรสตาร์] มันมาจากตอนที่ผมกระโดดร่มและใช้เครื่องจำลองการบิน ผมไปซื้อเครื่องยนต์นั้นมา แล้วนำไปไว้ที่ซาวน์สเตจของไพน์วูด เพื่อให้ใบหน้าของผมเกิดการขยับและสร้างความรู้สึกของความเร็วจริงๆ ขึ้นมา การเคลื่อนไหวจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวละคร ทั้งหมดนี้เป็นวิวัฒนาการมาจากแนวคิดนั้น ทุกสิ่งที่เราทำได้นำไปสู่ทุกสิ่งที่เราทำได้สำเร็จครับ”

Tom Cruise plays Ethan Hunt in Mission: Impossible – The Final Reckoning from Paramount Pictures and Skydance.
Pom Klementieff plays Paris in Mission: Impossible – The Final Reckoning from Paramount Pictures and Skydance.
Shea Whigham plays Briggs, Pom Klementieff plays Paris and Greg Tarzan Davis plays Degas in Mission: Impossible – The Final Reckoning from Paramount Pictures and Skydance.

การเคลื่อนไหวอาจเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวละครก็จริง แต่การเคลื่อนไหวเพียงแค่ให้เกิดการเคลื่อนไหวนั้นก็ไม่มีความหมาย “หากไม่มีความผูกพันทางอารมณ์กับตัวละคร แอ็กชันก็ไม่สำคัญครับ มันจะเป็นเพียงภาพน่าตื่นตาตื่นใจเท่านั้นเอง ดังนั้น ในหนังแต่ละภาค เราจึงเรียนรู้วิธีสร้างอารมณ์ขึ้นมา” แม็คควอร์รีย์กล่าว แม้ว่าบางครั้งการทำเช่นนั้นจะหมายถึงการลดทอนแอ็กชันลงก็ตาม

แม็คควอร์รีย์ กล่าวว่า ตัวอย่างที่โดดเด่นของเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงท้ายของ Rogue Nation และสอนให้พวกเขาเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างที่พวกเขายังคงเลียนแบบมาใช้ในเรื่องราวที่ดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน นั่นเป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยฉากที่เป็นเอกลักษณ์ของ Mission แต่เมื่อถึงเวลาต้องจบเรื่องราว วิธีแก้ปัญหาที่กัดกินอยู่ในของทีมผู้สร้างมาตลอดการถ่ายทำในที่สุดก็มาจากรากฐานที่เรียบง่ายกว่ามาก

“อีกสิ่งหนึ่งที่เราเรียนรู้จากหนังเรื่องนี้คือฉากแอ็กชันไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่อลังการเพื่อให้ผู้ชมรู้สึกตื่นเต้น มันสามารถสร้างความรู้สึกที่ใกล้ชิดกันมากกว่านี้ได้” แม็คควอร์รีย์อธิบาย “ท้ายที่สุด องก์ที่สามของ Rogue Nation จบลงด้วยการวิ่งไล่ล่าและจับตัวผู้ร้าย [โซโลมอน เลน ที่รับบทโดยฌอน แฮร์ริส] ในกล่องกระจกเล็กๆ”

Pom Klementieff plays Paris in Mission: Impossible – The Final Reckoning from Paramount Pictures and Skydance.
Hayley Atwell plays Grace in Mission: Impossible – The Final Reckoning from Paramount Pictures and Skydance.
Tom Cruise plays Ethan Hunt and Esai Morales plays Gabriel in Mission: Impossible – The Final Reckoning from Paramount Pictures and Skydance.

การปิดฉากภาพยนตร์ในแบบที่เรียบง่ายเช่นนี้เป็นการฉีกขนบธรรมเนียมของภาพยนตร์ประเภทเดียวกันที่เคยมีมา ไม่ต้องพูดถึงการที่พวกเขาเปิดเรื่องด้วยซีเควนซ์เครื่องบินแอร์บัส A400 ขนาดใหญ่เลย “และนั่นทำให้เราได้เรียนรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่เราคิดว่ากฎของการเล่าเรื่องในภาพยนตร์แอ็กชันฟอร์มยักษ์คืออะไร และเราคิดว่าภาพยนตร์ต้องทำอะไรบ้าง” แม็คควอร์รีย์กล่าว “ก่อนหน้านั้น เราคิดว่ามันต้องลงเอยด้วยการต่อสู้ระหว่างอีธานกับผู้ร้าย และว่าผู้ร้ายต้องตาย แต่เราไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ ทุกครั้งที่เราพยายาม มันกลับใหญ่โตและมีค่าใช้จ่ายสูงเกินกว่าที่เราจะทำให้มันใช้การได้จริงๆ จนกระทั่งเราละทิ้งความคิดที่ว่าอีธานต้องฆ่าผู้ร้ายไป ทุกอย่างถึงเปลี่ยนไปครับ”

ตามที่มักจะเกิดขึ้นกับภาพยนตร์ในแฟรนไชส์เรื่องนี้ การตัดสินใจครั้งสำคัญเช่นนั้นมีจุดเริ่มต้นจากการสนทนาในห้องโรงแรมกลางดึกในสถานที่ถ่ายทำจริง ตั้งแต่พวกเขาเริ่มถ่ายทำ Rogue Nation ทั้งแม็คควอร์รีย์และครูซต่างก็ไม่สามารถระบุได้ว่าทำไมถึงเป็นเรื่องยากมากที่จะสร้างฉากจบอันน่าตื่นตะลึงอย่างเหมาะสมให้กับตัวร้ายที่ร้ายกาจเช่นนี้ ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจถึงสาเหตุจากการสนทนาครั้งนั้น

“ผมพูดกับทอมว่า ‘ผมรู้แล้วว่าผมไม่ได้อยากเห็นคุณฆ่าโซโลมอน เลน หนังไม่ได้ทำให้ผมอยากให้อีธานฆ่าโซโลมอน เลน’ ทอมพูดว่า ‘แล้วคุณต้องการอะไรล่ะ’ ผมบอกว่า ‘คุณเคยสู้กับพวกตัวใหญ่ๆ มาแล้ว ผมอยากให้คุณเอาชนะโซโลมอน เลนได้ด้วยปัญญา เพราะเขาใช้สมองมากกว่ากำลัง’ แล้วทอมก็พูดว่า ‘แล้วคุณจะทำแบบนั้นได้ยังไง’”

จนถึงตอนนี้ แม็คควอร์รีย์ไม่ได้คิดอะไรไว้เลย แต่แล้วเขาก็จำได้ว่าตอนต้นเรื่อง เลนเคยขังอีธานไว้ในกล่องกระจก ตอนนั้นเอง ชะตากรรมของเลนก็ถูกกำหนดไว้แล้ว “ผมบอกว่า ‘ผมคิดว่าเขาเคยขังคุณไว้ในกล่องกระจกตอนต้นเรื่อง คุณน่าจะขังเขาไว้ในกล่องกระจกตอนท้ายเรื่องนะ’ ห้านาทีต่อมา เราก็ได้ตอนจบของหนังเรื่องนี้ ซึ่งเราพยายามดิ้นรนคิดกันมาหลายเดือน” แม็คควอร์รีย์หัวเราะ

Greg Tarzan Davis plays Degas in Mission: Impossible – The Final Reckoning from Paramount Pictures and Skydance.
Mark Gatiss plays Angstrom, Janet McTeer plays Walters and Charles Parnell plays Richards in Mission: Impossible – The Final Reckoning from Paramount Pictures and Skydance.
Nick Offerman, Charles Parnell, Angela Bassett, Mark Gatiss and Janet McTeer in Mission: Impossible – The Final Reckoning from Paramount Pictures and Skydance.

แน่นอนว่าการไม่ฆ่าผู้ร้ายของพวกเขาทำให้เกิดแนวคิดที่เขาจะกลับมาในภาคต่อไป “ดังนั้น แนวคิดในการปล่อยให้บางสิ่งไป ให้มันมีขนาดเล็กลงและใกล้ชิดมากขึ้น จึงทำให้เกิด Fallout ซึ่งในตอนนั้นถือเป็น Mission: Impossible ภาคที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” เขากล่าว “สิ่งที่เราเรียนรู้ก็คือ Mission: Impossible ไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ นอกเหนือไปจากเรื่องราวที่ดีและอารมณ์ ไม่ว่าคุณจะคิดว่ากฎของหนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์คืออะไร ในกรณีนี้ พวกมันไม่ใช่กฎ แต่เป็นเพียงแนวทางเท่านั้น สำหรับ Mission ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรทั้งนั้น จนกว่าคุณจะเขียนมันออกมา ใน Rogue Nation และ Fallout นี่เองครับที่เราได้เรียนรู้ว่า Mission มีจิตใจเป็นของตัวเอง”

จากนั้น แม็คควอร์รีย์และครูซก็ยังคงรับฟังเสียงของ Mission ต่อไป และเรียนรู้ที่จะค้นพบความถี่ทางอารมณ์ที่เพิ่มสูงขึ้นจากสิ่งนั้น นอกจากนั้น พวกเขายังได้เปลี่ยนสุนทรีย์ศาสตร์ของภาพยนตร์แต่ละเรื่อง โดยที่แม็คควอร์รีย์ยังคงยึดมั่นกับคำสัญญาที่เขาให้ไว้กับตัวเองเมื่อเซ็นสัญญาทำงานในแฟรนไชส์นี้ เพื่อรักษาปฏิญญา Mission อีกประการหนึ่งที่มีมาตั้งแต่แรกเริ่ม

“เมื่อคุณดูหนังสี่เรื่องที่ผมกำกับติดต่อกัน ผมหวังว่าคุณจะสังเกตเห็นว่าทั้งสี่เรื่องมีลุคและความรู้สึกที่แตกต่างกันมาก” แม็คควอร์รีย์กล่าว “นั่นเป็นเพราะผมเคารพแฟนๆ และชื่นชมที่แฟรนไชส์นี้สร้างชื่อเสียงจากการมีผู้กำกับที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละภาค”

และรายชื่อผู้กำกับก็ยอดเยี่ยมมาก ภาคแรกกำกับโดยไบรอัน เดอ พัลมา ภาคที่สองกำกับโดยจอห์น วู ภาคที่สามกำกับโดยเจ.เจ.อับรามส์ และภาคที่สี่กำกับโดยแบรด เบิร์ด “ดังนั้น ตอนที่ผมกลับมาถ่ายทำภาคที่สองและภาคต่อๆ มา” แม็คควอร์รีย์เน้นย้ำ “ผมพูดว่า ‘มันต้องดูแตกต่างไป Fallout ต้องดูแตกต่างไปจาก Rogue Nation Dead Reckoning ต้องดูแตกต่างไปจาก Fallout  และ The Final Reckoning ต้องดูแตกต่างไปจาก Dead Reckoning’ เรื่องนี้ทำให้ผมต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ แต่ก็ทำให้ผมมีความยืดหยุ่นอย่างแท้จริง แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่สไตล์ ผมสามารถเน้นที่อารมณ์เป็นสำคัญได้ครับ”

Director Christopher McQuarrie on the set of Mission: Impossible – The Final Reckoning from Paramount Pictures and Skydance.
Tom Cruise plays Ethan Hunt in Mission: Impossible – The Final Reckoning from Paramount Pictures and Skydance.

ในตอนที่ครูซย้อนนึกถึงความสำเร็จทั้งหมดที่เขาทำไว้กับ Mission: Impossible ตลอดระยะเวลาสามทศวรรษที่เขาใช้ไปกับการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของแฟรนไชส์นี้ และเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของหนังแอ็กชันไปพร้อมกัน เขายังคงจำได้ดีถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แฟรนไชส์เรื่องนี้กลายเป็นแบบนี้ได้ ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นหลังจากที่ภาพยนตร์ภาคแรกเริ่มโบกปีกบิน 10 ปี ที่เขารู้สึกว่าเข้าถึงจังหวะอันโดดเด่นของเรื่องนี้อย่างแท้จริง

“การสร้าง Mission: Impossible ทุกภาคทำให้ผมเข้าใจวิธีสร้าง Mission: Impossible ได้ดีขึ้น ผมต้องอำนวยการสร้าง Mission: Impossible ถึงสามภาค กว่าที่ผมจะรู้วิธีอำนวยการสร้างหนัง Mission: Impossible น่ะครับ” เขากล่าว “หลังจากผ่านไปสามภาคแล้ว ผมถึงสามารถทำแบบนั้นได้จริงๆ เพราะผมสามารถประเมินหนังทั้งสามเรื่องได้ นั่นคือจุดที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป หลังจากภาคที่สาม ผมก็รู้สึกว่า ‘โอเค ผมรู้วิธีแล้ว’ เพราะ Mission ทำให้ผมมีส่วนร่วมกับผู้ชมในแบบที่ไม่เหมือนใคร เป็นการมีส่วนร่วมที่เข้าถึงอารมณ์อย่างแท้จริง คุณสามารถเห็นพัฒนาการของตัวละครและพัฒนาการของทุกสิ่งที่เราสามารถทำได้ในทุกภาคที่ผ่านมาครับ”

Mission: Impossible – The Final Reckoning ‘มิชชั่น: อิมพอสซิเบิ้ล ปิดปฏิบัติการล่าพิกัดมรณะ’ เข้าฉาย 17 พฤษภาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์